เมืองท่ามาริอูโปลทางตอนใต้ของยูเครน ปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อกองกำลังรัสเซีย หลังได้รับข้อเสนอให้วางอาวุธเพื่อแลกกับการเปิดช่องทางปลอดภัยให้พลเรือนกว่า 300,000 คน อพยพหนีภัยการสู้รบออกจากเมืองได้
หลังจากปิดล้อมโจมตีเมืองมาริอูโปลซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างสูงมานานกว่า 3 สัปดาห์ กองกำลังรัสเซียยื่นคำขาดให้ทางการเมืองมาริอูโปลหยุดการต่อสู้และวางอาวุธ ก่อนเวลา 5.00 น.ของวันนี้ (21 มี.ค.) ตามเวลากรุงมอสโก แล้วฝ่ายรัสเซียจะเปิดระเบียงทางมนุษยธรรมให้พลเรือน รวมทั้งกองกำลังยูเครนและ “ทหารรับจ้างต่างชาติ” เดินทางออกจากเมืองได้ ทั้งจะลำเลียงอาหารรวมทั้งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอื่น ๆ เข้าไปในเมือง เมื่อเก็บกู้กับระเบิดตามถนนหนทางจนหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม เส้นตายดังกล่าวได้ผ่านเลยไป โดยกองกำลังที่รักษาเมืองมาริอูโปลไม่ยอมจำนนตามที่รัสเซียเรียกร้อง หนังสือพิมพ์ออนไลน์ยูเครนิสกา พราฟดา (Ukrainska Pravda) รายงานคำพูดของนางอิรีนา เวเรชชุก รองนายกรัฐมนตรียูเครนที่ว่า “จะไม่มีการพูดคุยเรื่องยอมจำนนหรือวางอาวุธโดยเด็ดขาด”
นายเปียวเตอร์ อันดรียูเชนโก ที่ปรึกษาของนายกเทศมนตรีเมืองมาริอูโปลบอกกับบีบีซีว่า imiwin ข้อเสนอเรื่องความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจากรัสเซียนั้นเชื่อถือไม่ได้ “เราจึงไม่หยุดการป้องกันตนเอง เราจะสู้จนถึงที่สุด แม้เหลือแค่ทหารคนสุดท้ายก็ตาม”
นายอันดรียูเชนโกยังยืนยันรายงานข่าวที่ว่า ทหารรัสเซียกวาดต้อนชาวเมืองมาริอูโปลอย่างน้อย 4,000 คน ให้เดินทางข้ามพรมแดนไปยังภูมิภาครอสตอฟของรัสเซีย โดยชาวเมืองเหล่านี้ไม่สมัครใจและไม่มีหนังสือเดินทางติดตัวไปด้วย
“เมื่อรัสเซียพูดถึงการเปิดระเบียงมนุษยธรรม พวกเขาลงมือทำจริงยังไงน่ะหรือ ? มีแต่บังคับกวาดต้อนผู้คนของเราไปรัสเซียน่ะสิ” นายอันดรียูเชนโกกล่าว
องค์การสหประชาชาติระบุว่า การทำสงครามรุกรานของรัสเซียได้ทำให้ชาวยูเครนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นฐานมากกว่า 10 ล้านคนแล้ว โดยตัวเลขนี้รวมถึงผู้อพยพหนีการสู้รบไปยังต่างเมืองและต่างประเทศ